การทำวิทยานิพนธ์

ก็ดำเนินการตามที่เสนอในโครงร่าง จัดทำไป
4.1การส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจ
-ขึ้นอยู่กับว่าแนวทางการทำงานของอาจารย์ที่ปรึกษาแต่ละท่านเป็นอย่างไร ส่งงานแบบไหน บางท่านส่งตรวจทีละบท และแก้ไขทีละบท หรือ ส่งทีละครึ่งเล่ม บท 1-3 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาจารย์แต่ละท่าน  แนะนำให้ หากมีปัญหา หรือหลงทาง แนะนำให้ขอพบหรือนัดพบอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อชี้แนะทางสว่าง (อย่าคลำทางเอง ให้อาจารย์ที่ปรึกษาจุดเทียนจุดตะเกียงนำทางดีกว่าหลงลึกแล้วค่อยมาหาตะเกียง การขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษาจะช่วยให้ราบรื่นและหลงทางน้อยลงได้ อะไรที่ควรตัดทิ้ง หรือเพิ่มเติมในตัวงานก็จะได้แก้ไขเพิ่มเติมแต่เนิ่น ๆ)


4.2การหาเอกสารที่เกี่ยวข้องหรือแนวคิด
-หากไม่รู้ว่างานควรเริ่มต้นตรงไหน ใช้อะไรกับงานบ้าง หนังสือเล่มไหนทฤษฎีแบบใดควรใช้ แนะนำให้อ่าน
วิธีอ่าน ของแต่ละคนต่างกัน สำหรับเรา หากเร่งรัดหน่อย ขอเสนอวิธีคือ
1)การเข้าหาวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องในฟิลงานเดียวกับเรา หรือ แค่เกี่ยวข้องกับเราทั้งหมด ทั้งนี้ ลดข้อกำหนดเรื่องคณะ เพราะงานที่เกี่ยวข้องอาจเป็นคณะอื่นที่เราไม่คิดว่าจะมีก็ได้ พูดง่าย ๆ คือ งานที่เรื่องใกล้เรา มีจุดประสงค์ใกล้เรา หรือ เป็นงานที่ศึกษาในเรื่องเดียวกัน แม้จะมองจากมุมมองคนละคณะ ก็ถือเอามาศึกษาก่อนได้ แล้วค่อยตัดออก ก็ไม่สาย เวปที่มีงานวิทยานิพนธ์เยอะ ๆ คือ http://tdc.thailis.or.th/tdc/ หรือ เข้าโหลดตรงตามแต่ละมหาวิทยาลัย หรือ ไม่ก็ google
2)วิธีนี้ อาจสิ้นคิดสักหน่อย แต่ก็พอช่วยได้ คือ ไปที่ชั้นหนังสือ ในห้องสมุด กวาดทุกเล่มที่อยู่ในฟิลของเรา เช่น กฎหมายอาญา ก็นั่งไล่เล่มไป ดูว่าเรื่องไหน มีหัวข้อที่เราสนใจบ้าง จดเลขหน้าขอหนังสือไว้ ก็นั่งคัดหนังสือจดเลขหน้าไปจนกว่าจะหมดชั้น แล้วเอาไปถ่ายเอกสารตามเลขหน้าที่จดไว้ อย่าลืมหน้าปกในของหนังสือเพื่อใช้สำหรับอ้างอิงหากหนังสือนั้นมีเนื้อหาที่ใช้ในงานได้เพื่ออ้างอิง และแนะนำให้ถ่ายหน้าอ้างอิง ของหนังสือด้วยเพื่อใช้ประกอบในการหาหนังสือเพิ่มมาใช้ในการเป็นข้อมูลงาน (เสียตังหน่อย) แล้วเอามานั่งอ่านอีกที ทำไฮท์ไลท์ที่จะใช้
3)เมื่อได้หนังสือ / เอกสารแล้ว ก็สามารถที่จะเป็นฐานข้อมูลสำหรับการค้นคว้าได้  หากไม่รู้จะใช้หนังสือเล่มไหน ในเรือ่งฟิลใกล้ ๆ เรา ดูอ้างอิงจากหนังสือ หรือ งานวิจัยนั้น ๆ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งแนะนำว่าแม้ได้อ่านแล้ว แต่ควรไปอ่านจากหนังสือที่งานวิจัยฉบับนั้นอ้างจริง ๆ เพราะมุมมองและการอธิบายทำความเข้าใจในหัวข้ออาจแตกต่างกัน เราอาจคิดหรือวิเคราะห์แนวคิดนั้น ๆ ได้แตกต่างก็เป็นได้
4)งานวิจัยที่เก่า/หนัังสือเก่า ไม่ได้แปลว่าใช้ไม่ได้เพราะข้อมูลไม่อัพเดต แต่อาจตีความและอธิบายการพัฒนาของเรื่องที่เราศึกษาให้เห็นมุมมองในอดีตของแนวคิดจากหนังสือ หรือ การปฏิบัตในช่วงยุคนั้นได้ และนำมาอธิบาย หรือ เปรียบเทียบกับงานที่เราศึกษาให้เห็นแนวทางหรือการพัฒนาดังกล่าวได้


4.3แนวทาง และมุมมองของงาน
ในการทำวิจัย เราชื่อว่าเราต้องเจองานที่มีมุมมอง หรือ มีแนวคิด หรือแม้แต่การวางโครงร่างที่คล้ายคลึงกับของเรา อย่าตกใจและละทิ้งไป ให้ลองศึกษาแต่อย่าถูกกลืน เพราะเมื่อศึกษาแล้วอาจพบว่าวิธีที่ได้ผลรับนั้นแตกต่างกันไป ข้อสรุปของงานไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเสมอไป ยุคเปลี่ยน สถานที่เปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ท้ายที่สุดสิ่งที่ได้อาจเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ หรือแม้แต่การเปลี่ยแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ของงานก็ทำให้มุมมองของงานแตกต่างกัน หรือ จุดประสงค์ที่จุดที่เล็งไปของงานคนละจุดก็ทำให้งานแตกต่างกันแล้ว เช่น รถชน บางคนมองว่าละเมิด บางคนมองประเด็นอาญา หรือ การปล่อยชั่วคราว บางคนให้น้ำหนักกับทฤษฎี บางคนเน้นนายประกัน บางคนเน้นสิทธิผู้ต้องหา บางคนเน้นประกันภันภัยอิสรภาพ เป็นต้น จุดเน้นที่ต่างไปก็ได้ชิ้นงานที่แตกต่างกันได้
งานวิจัยชื่อเดียวกัน แต่อาจเห็นแย้ง หรือมองกันจากคนละมุมเลยก็ได้ ลองคิดเสียว่า ปํญหาที่เราเจอคือ สิ่ง ๆ หนึ่ง ซึ่งการมองคนละมุมย่อมได้รูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน มองด้วยแว่นขยายคนละอัน ก็ย่อมได้ขนาดไม่เท่ากัน งานวิจัยก็เช่นกัน เราเสมือนนักสีบที่มีแว่นขยายคนละอัน บ้างเลนส์เว้า บ้างเลนสนูน บ้างมีพื้นเพ ทางวิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ บ้างตั้งสมมุติฐานเข้าใจสังคม
โดยส่วนตัวมองว่า สำหรับจุดเริ่มต้นที่ว่างเปล่านะ  การเจองานวิจัยที่มีเป้าใกล้เคียงกับที่เราสนใจ ย่อมดี นั่นเสมือนมีแผนที่บอกทางในเบื้องต้น มีแผนที่ดีกว่า คลำทางไปเอง ยิ่งมีตะเกียงอาจารย์ยิ่งเหมือน GPS เราไม่จำเป็นต้องตามแผนที่ซะหมดเพราะแผนที่อาจเก่าไปบ้าง แต่ก็รู้ได้ว่าข้างหน้ามีอะไร จะได้เตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือ เพื่อแก้ไข ปรับปรุงไว้ก่อน

4.4การเขียน เขียนด้วยภาษาตัวเอง อย่าลอก เพราะลอกไปลอกมาแล้วจะหลง การอ่านหนังสือเพื่อหาข้อมูลนั้น ก็อย่างที่บอกว่า ถ่ายเอกสารแล้วอ่านทีเดียว แล้วค่อย ๆ วิเคราะห์แยกแยะในแต่ละเรื่องจะใช้ ทำความเข้าใจแล้ว ถึงเขียนด้วยภาษาของเรา ส่วนไหนที่เราได้รับแนวคิดจากเล่มไหนก็อย่าลืมใส่อ้างอิงเชิงอรรถไว้จะได้ไม่ลืม
-แล้วก็อย่าลืมว่านิติเป็นงานเกี่ยวข้อกับกฎหมาย อย่าลืมวิเคราะห์และนำข้อกฏหมายมาใส่เพื่อเปรียบเทียบและวิเคราะห์บทบัญญัติด้วย เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก

4.5การจัดเก็บไฟล์
-ในช่วงเริ่มต้นการเขียนงาน การจัดเก็บไฟล์แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน

โดยส่วนตัวจากประสบการณ์ เราทำงานเก็บไฟล์แยกเป็น 3 ไฟล์ คือ ไฟล์ส่วนปกหน้า (ตั้งแต่ปกหน้า - สารบัญ) ไฟล์ส่วนตัวงาน (บท1-5 ,อ้างอิง) ไฟล์ส่วนภาคผนวกและข้อมูลผู้เขียน
ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ไฟล์ส่วนตัวงาน การเรียงกันในไฟล์เดียว จะง่ายต่อการอ้างอิง และง่ายต่อการทำเชิงอรรถด้วยโปรแกรมสำเร็จสำหรับอ้างอิง อย่าง endnoteweb (ใครสนใจมีเปิดอบรมที่ห้องสมุด) โปรแกรมจะดำเนินการจัดอ้างอิงให้เสร็จ เพียงเพิ่มเลขหน้าเท่านั้น ส่วนปัญหาของโปรแกรมคือ ถ้าไม่ต่ออินเตอร์เน็ต จะไม่สามารถดึงข้อมูลจากเซิฟเว่อร์ได้ แล้วการอ้างอิงจะงง ๆ หน่อย ซึ่งพอทำงานจนปิดเล่มแล้ว การแก้ไขอ้างอิงล่าสุด  คือ ให้ปิด ตั้งค่าการอัพเดตอัตโนมัติจากเซฟเว่อร์ และแก้ไขแบบแมนนวล และตรวจเช็คอีกครั้ง
การอ้างอิงแบบนี้ เราจะรันเรียงเอกสารอ้างอิง ในหน้าอ้างอิง  หรือ บรรณนุกรมได้เลย โดยไม่ต้องพิมพ์และไม่ตกหล่น แต่อย่าลืมปิดการอัพเดตและตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ผิดพลาด อันเนื่องจากข้อจำกัดด้านภาษา

ทั้งนี้บางท่านจัดเก็บแบบไฟล์เรียงตามแนวทางของการส่งเล่มบัณฑิต ข้อดีคือ ง่ายต่อการตรวจสอบแก้ไข และส่งอาจารย์ อีกอย่างคือ พอถึงบัณฑิตแล้วไม่ต้องแก้ เซฟแบ่งไฟล์ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน
ABSTRACT (บทคัดย่อ ไทย-อังกฤษ)
APPENDIX (ภาคผนวก)
แยกบท (มีเท่าไหร่ก็แยกเท่านั้น)
CHAPTER 1
CHAPTER 2
CHAPTER 3
CHAPTER 4
CHAPTER 5 ....
CONTENT (สารบัญต่าง ๆ อักษรย่อ อภิธานศัพท์ การริเริ่ม)
COVER (ปกหน้า ปกใน หน้าหัวข้อ หน้าอนุมัติ คำอุทิศ กิตติกรรมประกาศ )
REFERENCE (เอกสารอ้างอิง และรายการสิ่งตีพิมพ์)

-ข้อแนะนำคือ การเซฟไฟล์ ควรใส่วันที่ไว้ในชื่อไฟล์ทุกครั้ง และไม่ควรเซฟทับกัน เมื่อมีการแก้ไข หรือ เริ่มแก้งานในวันใหม่ ควรเซฟเป็นไฟล์ใหม่ เพื่อให้เห็นการอัพเดตและแก้ไขเป็นช่วง ๆ และเราจะเห็นความขยันและความเฉื่อยจากความถี่ของงานเราเองได้ 

4.6การอ้างอิง
-การอ้างอิง ของนิติใช้อ้างอิงแบบเชิงอรรถ(ด้านล่างของหน้า) + ทั้งนี้อาจเพิ่มเติมข้อกฎหมาย ที่นำมาใช้ท้ายหน้าเช่นกันเพื่อความชัดเจน