การตีพิมพ์ผลงาน

สำหรับนิติ ต้องส่งบทความตีพิมพ์ผลงาน หรือ ประชุมวิชาการที่มีรายงานประชุม เพื่อใช้ในการทำเรื่องขอจบ (ส่วนใหญ่จะตีพิมพ์ มากกว่า)

-การตีพิมพ์อาจตีพิมพ์ช่วงไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษา บางท่านอนุญาตให้ตีพิมพ์ในระหว่างทำกสนแก้ไขงาน ได้เลย โดยไม่ต้องรอสอบปิดเล่ม หรือ สอบจบก่อน หรือ บางคนตีพิมพ์หลังสอบไปแล้ว  แนะนำ ให้ลองปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา และดำเนินการส่งเรื่องเพื่อตีพิมพ์ ก่อนดำเนินขอสอบจบ เพราะหลังจากสอบจะได้มีเวลาแก้เล่ม ไม่ต้องผวงกับการตีพิมพ์อีก

-การตีพิมพ์ไม่จำเป็นต้องให้เล่มที่ตีมีกำหนดออกมากก่อน แต่สามารถส่งเรื่องให้กับบรรณาธิการของวารสารที่จะลง และดำเนินการตามรูปแบบของแต่ละวารสารได้เลย เมื่อวารสารรับเรื่องและส่งตรวจผู้เชี่ยวชาญ แก้ไขตามคำแนะนำเรียบร้อย ทางวารสารจะออกหนังสือจากหน่วยงาน เป็นใบอนุมัติรับรองตีพิมพ์ให้เรา สามารถใช้ประกอบยื่นเรื่องขอจบได้เลย โดยไม่ต้องรอหนังสือ หรือวารสารออกจำหน่าย

-ระยะเวลาในการดำเนินการนั้น ใช้เวลาทั้งหมดโดยรวม ประมาณ 1 เดือน หรือ บางวารสารอาจ 2 เดือน หรือมากกว่า เนื่องจากจำนวนคนเข้าส่งบทความตีพิมพ์ 

โดยสามารถดูวารสารที่ มหาวทิยาลัย(มช)รับรองว่าตีพิมพ์ได้ ได้ที่
http://www.grad.cmu.ac.th/web2016/main.php?p=21&&m=4&&s=402

-สำหรับท่านที่อยากลงวารสารนอกเหนือจากนี้ สามารถทำได้ การอาจส่งเรื่องแจ้งวารสารที่ลงกับทางคณะ เพื่อตรวจสอบและดำเนินการเพิ่มการรับรองในฐานวารสาร ก็ได้เช่นกัน

สำหรับนิติ วารสารที่ลงส่วนใหญ่ที่มีที่ติดต่อสะดวก ลองเลือกติดต่อและลงวารสารได้

วารสารนิติธรรมศาสตร์  http://lawjournal.law.tu.ac.th/publications/magazine/recommend/?lang=th
วารสารวิจัยรามคำแหง  http://webbase.law.nu.ac.th/lawnujournal11/index.php/journals
วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร http://webbase.law.nu.ac.th/lawnujournal11/index.php/journals
บทบัณฑิต เนติ  https://www.facebook.com/thethaibar.or.th
กฏหมายธุรกิจบัณฑิตย์ http://www.dpu.ac.th/law/submit-journal.html
รัฐศาสตร์สาร มธ http://www.polsci.tu.ac.th/psb/contact.html
โทร. 0-2613-2306 , 0-2613-2334
วารสารกฎหมายสุโขทัยธรรมาธิราช  ส่งได้ที่กองบรรณาธิการวารสารกฎหมายสุโขทัยธรรมาธิราช สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120
วารสารรามคำแหง ฉบับนิติศาสตร์ http://www.irulaw2.com/ram/viewpage.php?page_id=75 อีเมล์ lawjournal@ru.ac.th   โทรศัพท์ 081-829-2025 โทรสาร 02-310-8200 , 0873369094
ดุลพาหะ ศาล /025412293 ojta@coj.go.th
วารสารสถาบันพระปกเกล้า http://kpi.ac.th/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1.html?filter=401 กองบรรณาธิการวารสารสถาบันพระปกเกล้า
http://kpi.ac.th/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3.html สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารบี ชั้น 5 เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
Packawat.a@gmail.com


การดำเนินการส่งเล่มกับบัณฑิตวิทยาลัย

6.1รอบที่ 1 ส่งเพื่อตรวจฟอร์แมต (ต้องมีลายเซ็นอาจารย์ที่ปรึกษา – ถ้าไม่มีส่งคืน)
-หลังการตรวจสอบเรียบร้อยจากอาจารย์ที่ปรึกษาเรียบร้อย ให้จัดรูปแบบเอกสารตามที่บัณฑิตกำหนดเช่น
กั้นหน้า ขอบกระดาษ เลขหน้า ระยะบรรทัด
-การส่งให้ปริ้นเล่ม เป็น ไฟล์ word (word เท่านั้น ห้ามpdf)
-สิ่งที่บัณฑิตตรวจส่วนใหญ่ คือ
ความถูกต้องของปก / หน้าอนุมัติ ของคณะนิติ ไม่มีสาขาจึงไม่ต้องใส่สาขา ตัวอย่างดูข้างล่าง
สารบัญ หัวข้อแต่หัวข้อ ต้องไม่ยาวเกินเลขหน้า
เนื้อหา ชื่อของตาราง/รูปภาพ ต้องอยู่ท้ายตารางหรือรูปภาพ (ห้ามอยู่บน)
เลขหน้า ต้องอยู่แนวเดียวกันทั้งหมด (หน้าแนวนอน เลขหน้าก็ต้องอยู่แนวตั้งเช่นเดียวกับเลขหน้าในหน้าอื่น)
-บัณฑิตจะใช้เวลาตรวจ 1-3 วัน แล้วทางบัณฑิตจะโทรแจ้งให้เราไปรับเล่มรอบแรกคืน เพื่อดำเนินการแก้ไข
-ในระหว่างรอส่งตรวจ หรือก่อนส่งตรวจกับบัณฑิตก็ไปขอลายเซ็นต์กรรมการไว้เลยก็ได้น่ะคะ จะกี่แผ่นก็ว่ากันไป ตามจำนวนเล่มที่เราจะพิมพ์ หรือขอไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด ก็จะยิ่งดี (อย่างน้อย 3 เล่มเผื่อไว้ที่ต้องส่งให้มหาลัยนะคะ  ไม่แน่ใจว่าในรหัสอื่น หรือในอนาคต จะลดลงไหม ยังไงไว้ค่อยสอบถามจำนวนกับทางบัณฑิตหลังจากกระบวนการตรวจสอบก็ได้ค่ะ หรือตรวจสอบตอนชำระเงินค่าจัดพิมพ์ เค้าจะมีเอกสารแจ้งจำนวน CD และเล่มที่ต้องจัดทำอยู่แล้วค่ะ)
 
6.2รอบที่ 2 (มีลายเซ็นอาจารย์ที่ปรึกษาและ คณะกรรมการสอบ – พร้อมพิมพ์)
-ทำการแก้ไขตามที่บัณฑิตแจ้งในรอบที่ 1
-ในขณะขอลายเซ็นคณะกรรมการสอบ ให้เตรียมหน้าอนุมัติ ที่จะใช้ทำเล่ม ตามจำนวนเล่มที่เราจะพิมพ์เลย (อย่างน้อย 3 เล่ม) พร้อมปก CD (CD อย่างน้อย 7แผ่น)
-ระยะเวลาในการส่งรอบ 2 นั้น ให้ไปรับเล่มคืนในวันถัดจากวันที่ส่งได้เลย
สิ่งที่ต้องส่ง ในรอบสอง
1.เล่มเก่า(ในรอบ 1 ที่มีการแก้ไข)
ข้อแนะนำ หากการแก้ไขนั้น อาจทำให้หน้า เลขหน้า เลื่อนไป แล้วต้องแก้สารบัญ แนะนำให้แปะโพสอิทในงานเก่า ว่าหน้าที่แก้ดังกล่าวนั้น ย้ายไปอยู่หน้าไหนของเล่มใหม่ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตรวจรอบสอง
2.เล่มใหม่ที่ทำการแก้ไขแล้ว
3.บทคัดย่อ ไทย และอังกฤษ เพิ่ม 1 ชุด เพื่อลงตราประทับ

6.3รับเล่มเพื่อดำเนินการพิมพ์
เมื่อรับเล่มคืนในรอบที่ 2 แล้ว ให้ดำเนินการจัดพิมพ์ และลงฐานข้อมูลกับบัณฑิต
แนะนำว่า ให้เตรียมให้เตรียมสิ่งเหล่านี้ไปด้วยในวันรับเล่ม เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาเข้าไปทำเรื่องดำเนินเอกสาร หลายรอบ
สิ่งที่ต้องเตรียม เพื่อจัดพิมพ์เล่ม
1. CD ที่มีไฟล์ที่จะจัดพิมพ์เป็นไฟล์ WORD ที่มีการลงลายน้ำ (วิธีลงลายน้ำ cmuir.cmu.ac.th) และไม่ลงลายน้ำ จำนวน 1 แผ่น (แนะนำให้แยะโฟลเดอร์ไว้ เพื่อสะดวกในการแยกไฟล์)
โดยจัดรูปแบบไฟล์ ดังนี้
ABSTRACT (บทคัดย่อ ไทย-อังกฤษ)
APPENDIX (ภาคผนวก)
แยกบท (มีเท่าไหร่ก็แยกเท่านั้น)
CHAPTER 1
CHAPTER 2
CHAPTER 3
CHAPTER 4
CHAPTER 5 ....
CONTENT (สารบัญต่าง ๆ อักษรย่อ อภิธานศัพท์ การริเริ่ม)
COVER (ปกหน้า ปกใน หน้าหัวข้อ หน้าอนุมัติ คำอุทิศ กิตติกรรมประกาศ )
REFERENCE (เอกสารอ้างอิง และรายการสิ่งตีพิมพ์)
2.หน้าปก CD ที่มีลายเซ้นต์อาจารย์ที่ปรึกษาเรียบร้อยแล้ว จำนวนอย่างน้อย 7 แผ่น (มหาลัยใช้ประมาน6-7 แผ่น หากต้องการเพิ่ม เช่นส่งทุน หรือ กรณีอื่น ๆ ก็สั่งเพิ่ม)  (หน้าปก CD โหลดได้ที่http://www.grad.cmu.ac.th/web2016/main.php?p=21&&m=9&&s=906)
3.หน้าอนุมัติตัวจริง ที่มีลายเซ็นคณะกรรมการสอบและอาจารย์ที่ปรึกษาครบ (ตามจำนวนเล่มที่จะพิมพ์ แนะนำอย่างน้อยประมาณ 3 เล่ม)
4.หน้าปกใน หรือ หน้า ก (แต่จริง ๆ จะเอาไปหรือไม่ก็ได้นะ ถ้าเพื่อปลอดภัยก็เอาไปก็ได้)
5.เตรียมเงินสำหรับเป็นค้าจ่ายในการทำเล่ม (ค่าใช้จ่ายต่อ เล่ม แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับจำนวนหน้า / จำนวนหน้าสี จำนวนเล่ม) โดยเฉลี่ยคร่าว ๆ ต่อเล่ม แนะนำให้เตรียมไว้ ประมาณ 300-400 บาทต่อเล่ม อาจน้อย หรือ มากกว่านี้ (ส่วนของ CD ก็เฉลี่ยรวมไปกับราคาที่ต้องเตรียมต่อเล่ม เพราะ cd ไม่น่าแพงมาก)
การส่งเล่มเพื่อพิมพ์
1.ส่งเล่มที่ตรวจรอบ 2 แล้ว พร้อมสิ่งที่ต้องเอามาตามที่บอกข้างต้น ที่ห้องพิมพ์
2.เอาไฟล์ ไปอัพโหลดห้อง it ฐานข้อมูล turnitin (ใช้เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการตรวจสอบการคัดลอก และกึ่งตรวจสอบงานว่ามีการคัดลอกมากน้อยเพียงใด แต่ทั้งนี้แล้วแต่ว่าคณะไหนจะใช้ในการยื่นเรื่องจบกับคณะ ต้องสอบถามกับคณะว่าใช้ไหม หรือลองตรวจสอบดูก่อน หากมีการคัดลอกมากเกิน 30% อาจต้องยื่นส่งประกอบยื่นเรื่องจบกับคณะ)
3.ดำเนินการรับเอกสาร เพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายในการทำเล่มและ CD (แนะนำให้เตรียมไว้ ประมาณ 300-400 บาทต่อเล่ม อาจน้อย หรือ มากกว่านี้)
4.ดำเนินการชำระเงิน ที่ห้องชำระเงิน

6.4ส่งเอกสารเพื่อดำเนินการจบกับคณะ
1) ส่งบทคัดย่อที่ได้รับการประทับตรากับคณะ
2) หากคณะใช้ turn it in ก็ส่งด้วย (ส่วนใหญ่ที่ต้องส่ง คือตรวจแล้วมีแนวโน้มของคำ และโปรแกรมที่สูงกว่า 30%)
3)สำเนาใบเสร็จการชำระเงินค่าทำเล่มกับบัณฑิตวิทยาลัย
4)ใบตอบรับการตีพิมพ์
5)ใบคาดว่าจะสำเร็จการศึกษา
6)ผลสอบภาษาอังกฤษ
7)อื่น ๆ สอบถามคณะ

6.5รอการอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัย จำนวน 4 สภา ใช้ระยะเวลา ประมาณ 2 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาการส่งว่าอยู่ใกล้รอบการประชุมสภาไหม (ถ้ามีรอบประชุมเร็ว ก็อนุมัติเร็ว) สามารถดูการอนุมัติปริญญาได้จาก
-การจัดพิมพ์เล่ม จะดำเนินการจัดพิมพ์หลังจากได้รับการอนุมัติ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคิวในการจัดพิมพ์ ถ้าช่วงคนส่งเล่มพิมพ์น้อย ก็จะได้เร็ว) หลังพิมพ์เสร็จทางที่จัดพิมพ์จะโทรแจ้งตามเบอร์ติดต่อที่เราให้ไว้ ให้เข้าไปรับเล่มพิมพ์
-ระยะเวลา ตั้งแต่รอการอนุมัติจากสภา จนกระทั่งได้รับเล่มที่พิมพ์แล้วเสร็จ น่าจะประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลาในกรณีต่าง ๆ

**ระเบียบนี้ใช้กับ นศ รหัส 56 ของ มช เป็นต้นไป นะคะ ท่านอื่นที่หลงเข้ามา ลองสอบถามคณะและมหาลัยดูเพื่อไม่ให้ผิดพลาดนะคะ**
**จำนวนเล่มที่ต้องพิมพ์ / ราคา อาจเปลี่ยนแปลงนะคะ แค่ประมาณไว้ให้เฉย ๆ เผื่อเตรียมตัวกันได้ถูก


เพิ่มเติม
สำหรับคนที่ต้องการจัดพิมพ์กับร้านข้างนอก ก็ยังทำได้นะ แต่ต้องจัดพิมพ์กับมหาลัยได้จำนวนที่มหาลัยกำหนดก่อน แล้วนอกเหนือจากนั้น หากเราจะเพิ่ม อาจจัดพิมพ์กับมหาลัย หรือ จะจัดพิมพ์กับร้านข้างนอก ก็สุดแท้แต่เรา
เรทราคา ร้านข้างนอก ที่เราลองถามมา อยู่ที่ 150-350 ต่อเล่มในการเข้าเล่ม ไม่รวมการถ่ายเนื้อหาหรือพิมพ์เนื้อหาด้านใน (ราคาจะถููกลงหากพิมพ์เยอะ ซึ่งคำนวนจากต่อเรื่อง/ต่อชื่อ/ต่อคน  ไม่ใช่รวมกันแล้วจะลดเน้อ)
เราลองสอบถามร้านข้างนอกทีรับพิมพ์มา ในกรณีที่ต้องการจะจัดพิมพ์ แต่เตรียมหน้าอนุมัติไม่เพียงพอ สามารถถ่ายเอกสารสีได้ แต่ไม่ได้ใช้แบบทางการนะ ส่วนใหญ่ ใช้ในกรณีที่เราให้คนนั้นกับมือ เป็นบุคคลที่สนิท แต่อย่างไรก็ดี ไม่ควรใช้วิธีถ่ายดีกว่า ก็ขอลายเซ็นต์มาให้ครบ เผื่อเหลือเผื่อขาด ก็ขอมาไว้ก่อนจะดีกว่า

การสอบปิดเล่มวิทยานิพนธ์

5.1กำหนดวันสอบ
-เมื่อดำเนินการทำวิจัยแล้วเสร็จทั้งเล่ม อาจารย์ที่ปรึกษาดำเนินการตรวจสอบเรียบร้อย ก็กำหนดวันสอบกับอาจารย์ที่ปรึกษาและแจ้งคณะเพื่อกรอกเอกสารเพื่อขอสอบ และคณะดำเนินการจัดการสอบ และเชิญอาจารย์กรรมการสอบ
-ในการขอสอบปิดเล่มต้องดำเนินการกับทางมหาวิทยาลัยคือ การทำใบคาดว่าจะจบ และถ่ายรูปใบคาดว่า ซึ่งดำเนินการได้ในเวปไซด์ของมหาวิทยาลัย (น่าจะเวปนี้ https://www3.reg.cmu.ac.th/reg-expect/) และชำระเงินใบคาดว่า อย่างน้อย 1500 บาท แต่ส่วนใหญ่จะเกินกว่านั้น แล้วแต่คนกับเอกสารที่ขอให้มหาลัยออกให้
-ส่งเล่มวิทยานิพนธ์ที่เข้าเล่มแล้ว จำนวน 3 เล่ม การเข้าเล่มจะเข้าแบบไหนก็ได้ เพื่อความสะดวกในการเปิดอ่านของคณะกรรมการเท่านั้น และส่งเล่มให้กับทางคณะ เพื่อดำเนินการส่งให้อาจารย์กรรมการสอบอ่านก่อนการสอบ
-ควรสอบก่อนหมดปีการศึกษา ประมาณ 2-3 เดือน วันหมดปีการศึกษาของมอ จะไม่เกิน ส.ค. พูดง่าย ๆ คือ ควรสอบก่อนเมษา หรือ ไม่เกิน พ.ค.

5.2สอบปิดเล่มวิทยานิพนธ์
-ลักษณะการสอบคล้าย ๆ กับตอนสอบโครง แต่เน้นไปที่เนื้อหา +ประเด็นที่ค้นพบ + ข้อสรุปของงาน + ข้อเสนอแนะ
-ในการสอบควรบันทึกเทป คำแนะนำของอาจารย์ทุกท่าน เพื่อให้แก้ไขได้ครบถ้วน กรรมการบางท่านจะแก้ไขให้ในตัวเล่ม
-ระยะเวลาการสอบประมาณ 1-1.5 ชม.
-การสอบจะมีระดับของ การผ่าน แก้ไขน้อย / แก้ไขมาก /ไม่ผ่าน โดยส่วนใหญ่จะผ่าน แต่แก้ไขมากน้อยแล้วแต่รายละเอียดงาน

5.3การแก้ไข
-ดำเนินการแก้ไขตามที่อาจารย์แต่ละท่านแนะนำ เช่นเดียวกับตอนสอบโครงร่าง และ ส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจอีกครั้งหลังแก้ไขแล้วเสร็จ เมื่อแก้ไขและอาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบแล้วอาจต้องส่งให้คณะกรรมการตรวจสอบหรือไม่ แล้วแต่กรณี
-ระยะเวลาในการแก้ไข ม.ได้แก้ไขข้อกำหนด ตั้งแต่รหัส 56 เป็นต้นไป มีระยะเวลาแก้ไข 30 วันนับแต่วันสอบ หากไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลาที่กำหนดให้ทำเรื่องขอเลื่อนการส่งเล่มให้กับบัณฑิตก่อนครบ 30 วัน และเลื่อนได้ 1 ครั้ง อีก 30 วัน  ดังนั้น โดยรวมมีเวลาแก้ไข ประมาณ 60วัน โดยประมาณ แต่หากเป็นไปได้ควรแก้ไขให้เสร็จใน 30 วัน หรือ อย่างช้าสุด ต้องเหลือ เวลาให้ดำเนินเรื่องที่บัณฑิตวิทายาลัยอย่างน้อย 1 สัปดาห์(ประมาณ 50-55 วัน) เผื่อเวลาสำหรับการดำเนินเรื่อง ตรวจสอบและส่งเล่มที่บัณฑิต การดำเนินการขอเลื่อนส่งเล่มทำได้ที่คณะ กรอกเอกสารขอเลื่อนกำหนด
**จากประสบการณ์ส่วนตัว อย่าเหลือเวลาน้อยแบบนั้น เพราะจะเร่งด่วนมาก

**ระเบียบนี้ใช้กับ นศ รหัส 56 ของ มช เป็นต้นไป นะคะ ท่านอื่นที่หลงเข้ามา ลองสอบถามคณะและมหาลัยดูเพื่อไม่ให้ผิดพลาดนะคะ**

การทำวิทยานิพนธ์

ก็ดำเนินการตามที่เสนอในโครงร่าง จัดทำไป
4.1การส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจ
-ขึ้นอยู่กับว่าแนวทางการทำงานของอาจารย์ที่ปรึกษาแต่ละท่านเป็นอย่างไร ส่งงานแบบไหน บางท่านส่งตรวจทีละบท และแก้ไขทีละบท หรือ ส่งทีละครึ่งเล่ม บท 1-3 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาจารย์แต่ละท่าน  แนะนำให้ หากมีปัญหา หรือหลงทาง แนะนำให้ขอพบหรือนัดพบอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อชี้แนะทางสว่าง (อย่าคลำทางเอง ให้อาจารย์ที่ปรึกษาจุดเทียนจุดตะเกียงนำทางดีกว่าหลงลึกแล้วค่อยมาหาตะเกียง การขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษาจะช่วยให้ราบรื่นและหลงทางน้อยลงได้ อะไรที่ควรตัดทิ้ง หรือเพิ่มเติมในตัวงานก็จะได้แก้ไขเพิ่มเติมแต่เนิ่น ๆ)


4.2การหาเอกสารที่เกี่ยวข้องหรือแนวคิด
-หากไม่รู้ว่างานควรเริ่มต้นตรงไหน ใช้อะไรกับงานบ้าง หนังสือเล่มไหนทฤษฎีแบบใดควรใช้ แนะนำให้อ่าน
วิธีอ่าน ของแต่ละคนต่างกัน สำหรับเรา หากเร่งรัดหน่อย ขอเสนอวิธีคือ
1)การเข้าหาวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องในฟิลงานเดียวกับเรา หรือ แค่เกี่ยวข้องกับเราทั้งหมด ทั้งนี้ ลดข้อกำหนดเรื่องคณะ เพราะงานที่เกี่ยวข้องอาจเป็นคณะอื่นที่เราไม่คิดว่าจะมีก็ได้ พูดง่าย ๆ คือ งานที่เรื่องใกล้เรา มีจุดประสงค์ใกล้เรา หรือ เป็นงานที่ศึกษาในเรื่องเดียวกัน แม้จะมองจากมุมมองคนละคณะ ก็ถือเอามาศึกษาก่อนได้ แล้วค่อยตัดออก ก็ไม่สาย เวปที่มีงานวิทยานิพนธ์เยอะ ๆ คือ http://tdc.thailis.or.th/tdc/ หรือ เข้าโหลดตรงตามแต่ละมหาวิทยาลัย หรือ ไม่ก็ google
2)วิธีนี้ อาจสิ้นคิดสักหน่อย แต่ก็พอช่วยได้ คือ ไปที่ชั้นหนังสือ ในห้องสมุด กวาดทุกเล่มที่อยู่ในฟิลของเรา เช่น กฎหมายอาญา ก็นั่งไล่เล่มไป ดูว่าเรื่องไหน มีหัวข้อที่เราสนใจบ้าง จดเลขหน้าขอหนังสือไว้ ก็นั่งคัดหนังสือจดเลขหน้าไปจนกว่าจะหมดชั้น แล้วเอาไปถ่ายเอกสารตามเลขหน้าที่จดไว้ อย่าลืมหน้าปกในของหนังสือเพื่อใช้สำหรับอ้างอิงหากหนังสือนั้นมีเนื้อหาที่ใช้ในงานได้เพื่ออ้างอิง และแนะนำให้ถ่ายหน้าอ้างอิง ของหนังสือด้วยเพื่อใช้ประกอบในการหาหนังสือเพิ่มมาใช้ในการเป็นข้อมูลงาน (เสียตังหน่อย) แล้วเอามานั่งอ่านอีกที ทำไฮท์ไลท์ที่จะใช้
3)เมื่อได้หนังสือ / เอกสารแล้ว ก็สามารถที่จะเป็นฐานข้อมูลสำหรับการค้นคว้าได้  หากไม่รู้จะใช้หนังสือเล่มไหน ในเรือ่งฟิลใกล้ ๆ เรา ดูอ้างอิงจากหนังสือ หรือ งานวิจัยนั้น ๆ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งแนะนำว่าแม้ได้อ่านแล้ว แต่ควรไปอ่านจากหนังสือที่งานวิจัยฉบับนั้นอ้างจริง ๆ เพราะมุมมองและการอธิบายทำความเข้าใจในหัวข้ออาจแตกต่างกัน เราอาจคิดหรือวิเคราะห์แนวคิดนั้น ๆ ได้แตกต่างก็เป็นได้
4)งานวิจัยที่เก่า/หนัังสือเก่า ไม่ได้แปลว่าใช้ไม่ได้เพราะข้อมูลไม่อัพเดต แต่อาจตีความและอธิบายการพัฒนาของเรื่องที่เราศึกษาให้เห็นมุมมองในอดีตของแนวคิดจากหนังสือ หรือ การปฏิบัตในช่วงยุคนั้นได้ และนำมาอธิบาย หรือ เปรียบเทียบกับงานที่เราศึกษาให้เห็นแนวทางหรือการพัฒนาดังกล่าวได้


4.3แนวทาง และมุมมองของงาน
ในการทำวิจัย เราชื่อว่าเราต้องเจองานที่มีมุมมอง หรือ มีแนวคิด หรือแม้แต่การวางโครงร่างที่คล้ายคลึงกับของเรา อย่าตกใจและละทิ้งไป ให้ลองศึกษาแต่อย่าถูกกลืน เพราะเมื่อศึกษาแล้วอาจพบว่าวิธีที่ได้ผลรับนั้นแตกต่างกันไป ข้อสรุปของงานไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเสมอไป ยุคเปลี่ยน สถานที่เปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ท้ายที่สุดสิ่งที่ได้อาจเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ หรือแม้แต่การเปลี่ยแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ของงานก็ทำให้มุมมองของงานแตกต่างกัน หรือ จุดประสงค์ที่จุดที่เล็งไปของงานคนละจุดก็ทำให้งานแตกต่างกันแล้ว เช่น รถชน บางคนมองว่าละเมิด บางคนมองประเด็นอาญา หรือ การปล่อยชั่วคราว บางคนให้น้ำหนักกับทฤษฎี บางคนเน้นนายประกัน บางคนเน้นสิทธิผู้ต้องหา บางคนเน้นประกันภันภัยอิสรภาพ เป็นต้น จุดเน้นที่ต่างไปก็ได้ชิ้นงานที่แตกต่างกันได้
งานวิจัยชื่อเดียวกัน แต่อาจเห็นแย้ง หรือมองกันจากคนละมุมเลยก็ได้ ลองคิดเสียว่า ปํญหาที่เราเจอคือ สิ่ง ๆ หนึ่ง ซึ่งการมองคนละมุมย่อมได้รูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน มองด้วยแว่นขยายคนละอัน ก็ย่อมได้ขนาดไม่เท่ากัน งานวิจัยก็เช่นกัน เราเสมือนนักสีบที่มีแว่นขยายคนละอัน บ้างเลนส์เว้า บ้างเลนสนูน บ้างมีพื้นเพ ทางวิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ บ้างตั้งสมมุติฐานเข้าใจสังคม
โดยส่วนตัวมองว่า สำหรับจุดเริ่มต้นที่ว่างเปล่านะ  การเจองานวิจัยที่มีเป้าใกล้เคียงกับที่เราสนใจ ย่อมดี นั่นเสมือนมีแผนที่บอกทางในเบื้องต้น มีแผนที่ดีกว่า คลำทางไปเอง ยิ่งมีตะเกียงอาจารย์ยิ่งเหมือน GPS เราไม่จำเป็นต้องตามแผนที่ซะหมดเพราะแผนที่อาจเก่าไปบ้าง แต่ก็รู้ได้ว่าข้างหน้ามีอะไร จะได้เตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือ เพื่อแก้ไข ปรับปรุงไว้ก่อน

4.4การเขียน เขียนด้วยภาษาตัวเอง อย่าลอก เพราะลอกไปลอกมาแล้วจะหลง การอ่านหนังสือเพื่อหาข้อมูลนั้น ก็อย่างที่บอกว่า ถ่ายเอกสารแล้วอ่านทีเดียว แล้วค่อย ๆ วิเคราะห์แยกแยะในแต่ละเรื่องจะใช้ ทำความเข้าใจแล้ว ถึงเขียนด้วยภาษาของเรา ส่วนไหนที่เราได้รับแนวคิดจากเล่มไหนก็อย่าลืมใส่อ้างอิงเชิงอรรถไว้จะได้ไม่ลืม
-แล้วก็อย่าลืมว่านิติเป็นงานเกี่ยวข้อกับกฎหมาย อย่าลืมวิเคราะห์และนำข้อกฏหมายมาใส่เพื่อเปรียบเทียบและวิเคราะห์บทบัญญัติด้วย เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก

4.5การจัดเก็บไฟล์
-ในช่วงเริ่มต้นการเขียนงาน การจัดเก็บไฟล์แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน

โดยส่วนตัวจากประสบการณ์ เราทำงานเก็บไฟล์แยกเป็น 3 ไฟล์ คือ ไฟล์ส่วนปกหน้า (ตั้งแต่ปกหน้า - สารบัญ) ไฟล์ส่วนตัวงาน (บท1-5 ,อ้างอิง) ไฟล์ส่วนภาคผนวกและข้อมูลผู้เขียน
ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ไฟล์ส่วนตัวงาน การเรียงกันในไฟล์เดียว จะง่ายต่อการอ้างอิง และง่ายต่อการทำเชิงอรรถด้วยโปรแกรมสำเร็จสำหรับอ้างอิง อย่าง endnoteweb (ใครสนใจมีเปิดอบรมที่ห้องสมุด) โปรแกรมจะดำเนินการจัดอ้างอิงให้เสร็จ เพียงเพิ่มเลขหน้าเท่านั้น ส่วนปัญหาของโปรแกรมคือ ถ้าไม่ต่ออินเตอร์เน็ต จะไม่สามารถดึงข้อมูลจากเซิฟเว่อร์ได้ แล้วการอ้างอิงจะงง ๆ หน่อย ซึ่งพอทำงานจนปิดเล่มแล้ว การแก้ไขอ้างอิงล่าสุด  คือ ให้ปิด ตั้งค่าการอัพเดตอัตโนมัติจากเซฟเว่อร์ และแก้ไขแบบแมนนวล และตรวจเช็คอีกครั้ง
การอ้างอิงแบบนี้ เราจะรันเรียงเอกสารอ้างอิง ในหน้าอ้างอิง  หรือ บรรณนุกรมได้เลย โดยไม่ต้องพิมพ์และไม่ตกหล่น แต่อย่าลืมปิดการอัพเดตและตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ผิดพลาด อันเนื่องจากข้อจำกัดด้านภาษา

ทั้งนี้บางท่านจัดเก็บแบบไฟล์เรียงตามแนวทางของการส่งเล่มบัณฑิต ข้อดีคือ ง่ายต่อการตรวจสอบแก้ไข และส่งอาจารย์ อีกอย่างคือ พอถึงบัณฑิตแล้วไม่ต้องแก้ เซฟแบ่งไฟล์ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน
ABSTRACT (บทคัดย่อ ไทย-อังกฤษ)
APPENDIX (ภาคผนวก)
แยกบท (มีเท่าไหร่ก็แยกเท่านั้น)
CHAPTER 1
CHAPTER 2
CHAPTER 3
CHAPTER 4
CHAPTER 5 ....
CONTENT (สารบัญต่าง ๆ อักษรย่อ อภิธานศัพท์ การริเริ่ม)
COVER (ปกหน้า ปกใน หน้าหัวข้อ หน้าอนุมัติ คำอุทิศ กิตติกรรมประกาศ )
REFERENCE (เอกสารอ้างอิง และรายการสิ่งตีพิมพ์)

-ข้อแนะนำคือ การเซฟไฟล์ ควรใส่วันที่ไว้ในชื่อไฟล์ทุกครั้ง และไม่ควรเซฟทับกัน เมื่อมีการแก้ไข หรือ เริ่มแก้งานในวันใหม่ ควรเซฟเป็นไฟล์ใหม่ เพื่อให้เห็นการอัพเดตและแก้ไขเป็นช่วง ๆ และเราจะเห็นความขยันและความเฉื่อยจากความถี่ของงานเราเองได้ 

4.6การอ้างอิง
-การอ้างอิง ของนิติใช้อ้างอิงแบบเชิงอรรถ(ด้านล่างของหน้า) + ทั้งนี้อาจเพิ่มเติมข้อกฎหมาย ที่นำมาใช้ท้ายหน้าเช่นกันเพื่อความชัดเจน

โครงร่างวิทยานิพนธ์

3.1การปรับแก้โครงร่าง
เมื่อส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษาดูและอาจารย์โอเคที่จะเป็นที่ปรึกษาให้ ก็ปรับแก้ไขตามที่อาจารย์แนะนำ และกำหนดวันสอบโครงร่าง

3.2กำหนดวันสอบโครงร่าง
เมื่อแจ้งให้คณะทราบและดำเนินเรื่องขอสอบโครงเรื่องเพื่อเชิญคณะกรรมการที่จะสอบโครงร่างวิทยาพินธ์
แนะนำให้สอบในช่วงเทอม 2 ของปี 2 หรือซัมเมอร์ ซึ่งระยะเวลาสิ้นปีการศึกษา ท้ายสุดอยู่ประมาณ ต้นสิงหา จึงควรสอบให้เสร็จก่อนกลางเดือน ก.ค. และเหลือเวลาให้ได้แก้ไขปรับแก้โครงร่างวิทยานิพนธ์ตามที่อาจารย์คณะกรรมการแนะนำ  หากสอบใกล้ช่วง ส.ค. มาก ๆ อาจไม่ทัน หรือเหลือเวลาน้อยเพื่อแก้ไข
การสอบโครง / สอบจบ ส่วนใหญ่ จะสอบในวันเดียวกัน อย่างน้อย 2 คน ที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมเป็นคณะกรรมการสอบ

3.3การสอบโครง
-คณะกรรมการสอบ 3 ท่านเป็นอย่างน้อย
-ใช้เวลาสอบประมาณ 1 ชม.
-ขั้นตอนการสอบ คือ พรีเซ็นต์โครงร่าง ให้เตริยมเบื้องต้น ประมาณ 15-20 หน้า มีที่มาความสำคัญ วัตถุประสงค์ ประโยชน์ ระยะเวลาในการศึกษา วิธีการศึกษา ครบถ้วนตามโครงร่าง (ในสไลค์ควรทำแบบกระชับเน้นเนื้อ ไม่เน้นน้ำ และควรส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษาช่วยดูหากไม่มั่นใจ หรือแนะนำเพิ่มเติมสไลด์ไหน) ควรปริ้นที่เราจะพรีเซ็นต์ให้คณะกรรมการอาจารย์ที่เป็นเนื้อหาหลัก ๆ ให้อาจารย์กรรมการสอบด้วย ใส่เลขหน้าของหน้าพรีเซ็นต์ด้วย เผื่ออาจารย์สงสัยสไลค์ไหน จะได้เลื่อนไปหน้าถูก
-สิ่งที่ต้องเตรียมเพิ่มที่ต้องเตรียมไว้เผื่ออาจารย์ถาม คือ จุดอ่อน จุดแข็งของงาน ความแตกต่างของงานกับคนอื่นในฟิลเดียวกัน ถ้าเหมือนหรือได้รับการต่อยอดจากงานก่อนหน้าของคนอื่น ต้องบอกให้ได้ว่าต่างตรงไหน ต่อตรงไหน หรือจุดด้อยของงานอันก่อนว่าเป็นอย่างไร
บางที อาจารย์ ก็ถามถึง เป้าหมายของงาน ข้อสมมุติฐาน ลากยาวไปจนทางแก้ของสมมุติปัญหาด้วย เพื่อมองแนวทางของงาน   แต่อันนี้ขึ้นอยู่กับงานของแต่ละคน
แต่ไม่ได้ว่า สอบปิดเล่มต้องเหมือนสมมุติฐานนะ อาจแตกต่าง เปลี่ยนแปลง แนวทางบิดๆเบี้ยวๆ ก้อแล้วแต่ว่าไปแล้วได้มาอย่างไร อาจไม่เหมือนสมมุติฐานเลยก้อได้
-แนะนำให้ซ้อมก่อนพรีเซ็นต์ เพราะจะเกร็งมากและเบลอมาก และคำถามของอาจารย์ทุกท่าน จะเริ่มทำให้เรางงมากขึ้นได้เนื่องจากความเบลอและเกร็ง แต่ก็จะผ่านไปได้ ไม่ต้องกลัวไป

3.4 การแก้ไขหลังสอบโครงร่าง
-ดำเนินการแก้ไขตามที่อาจารย์คณะกรรมการทุกท่านแนะนำ อาจต้องส่งให้อาจารย์ทุกท่านดูอีกครั้ง โดยการแก้ไขให้แล้วเสร็จ อาจต้องชี้แจ้งสิ่งที่แก้ไขไปว่าดำเนินการแก้ไขจุดไหนที่อาจารย์แนะนำ เพิ่มเติมตรงไหน
-ส่วนเรื่องกำหนดเวลา ไม่แน่ใจว่า 7วัน/15วัน/30วัน(ต้องลองถามคณะดูว่าได้ถึงวันไหน) แต่ถ้าใกล้วันสิ้นปีการศึกษามาก ระยะเวลาก็น้อยลง  คือต้องส่งก่อนวันสิ้นปีการศึกษา บางคนเหลือวันแก้แค่ 2-3 วัน เนื่องจากสอบโครงใกล้วันสิ้นปีมาก
จึงแนะนำให้สอบก่อนวันสิ้นปีการศึกษา สัก 1 เดือน เพื่อความปลอดภัย และความชิลในการแก้ไขงาน

**วันสิ้นปีการศึกษา=วันไทล์ นะจ๊ะ
**ระเบียบนี้ใช้กับ นศ รหัส 56 ของ มช เป็นต้นไป นะคะ ท่านอื่นที่หลงเข้ามา ลองสอบถามคณะและมหาลัยดูเพื่อไม่ให้ผิดพลาดนะคะ**

การหาหัวข้อวิจัย หรือ วิทยานิพนธ์

2.1 มีหัวข้ออยู่ในใจ
-พยายามคิด หรือ ปรึกษาอาจารย์ ในช่วงแรกหัวข้อเราอาจเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เนือง ๆ หาฟิลที่ใช่ อาจารย์ที่เราไปปรึกษานั้น ก็ท่านไหนก็ได้ ที่เราคุยด้วยแล้วโอเค หรือปรึกษาหลาย ๆ ท่าน เพื่อหาฟิลที่เราใช่ และหัวข้อที่เราสนใจ
-พอได้หัวข้อแล้ว ก็อาจจะกำหนดแนวทางของงาน จุดเน้นของงาน หรือแม้แต่มุมมองที่เราศึกษา อาจให้อาจารย์ช่วย

2.2 ถ้ายังไม่มีหัวข้อแน่นอน
-หากยังหาหัวข้อไม่ได้ ข้อแนะนำเบื้องต้น คือ เลือกอาจารย์ที่ปรึกษาที่อยากให้เป็นที่ปรึกษา ลองดูฟิลที่อาจารย์สนใจหรืออาจารย์ท่านนั้นรับผิดชอบ  ลองหาหัวข้อที่เราสนใจ  ถ้าหากเราทนอยู่กับมันได้ หรือ เป็นไปได้ส่งเสริมให้เราอยากรู้ ก็จัดไป เข้าไปคุย

2.3 หากได้หัวข้อเรียบร้อย
แนะนำให้ทำโครงร่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อนในเบื้องต้น เพื่อให้เรามีแนวทางว่าเราจะคุยกับอาจารย์แบบไหน แนวทางงานเป็นอย่างไร และให้ตอบคำถามอาจารย์ที่ปรึกษาได้ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาทั้งสองฝ่าย และอาจารย์จะได้ช่วยแนะนำเพิ่มเติมที่ปรับทิศทางได้ถูก  ถ้าเข้าไปคุยโดยลอย ๆ ไม่มีอะไร อาจารย์ก็อาจไม่เห็นความเป็นรูปธรรมของงาน  และไม่สามารถแนะนำในส่วนที่เราต้องการได้อย่างชัดเจน

**สุดท้ายหัวข้อทุกอย่างอาจารย์ช่วยปรับแก้ให้เราได้ แนะนำชี้ทางสว่างให้หัวข้อชัดเจนได้ แต่ถ้าเราไม่สามารถเข้าใจ และหัวข้อไม่ได้เริ่มต้นจากการสร้างแนวทางด้วยตัวเอง เราอาจหลงทางมากกว่าปกติ ในการทำวิจัย เนื่องจากแนวทางของเราไม่ชัดเจน**

ข้อกำหนดเกี่ยวกับการสอบภาษาอังกฤษ

-ข้อกำหนดของมหาวิทยาลัย ให้แผน ก ต้องผ่านภาษาอังกฤษก่อนสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์ 
ในส่วนของแผน ข ไม่แน่ใจ อาจยื่นผลสอบหลังสอบโครงร่างได้ (แล้วแต่แนวทางของแต่ละรุ่นแต่ละคณะ แนะนำให้สอบถามเจ้าหน้าที่ เพื่อเตรียมตัว)

-โดยส่วนใหญ่จะสอบอังกฤษของม.  คะแนนที่ผ่าน 60 คะแนน ทั้งนี้จะสอบกี่ครั้งก็ได้ จนกว่าจะผ่าน หรือ ลงเรียนภาษาอังกฤษที่เป็นคอร์สสำหรับ ป.โท แบบ 40 ชม(สำหรับคนที่สอบแล้วมีคะแนนสอบเกิน 40 คะแนน ...ถ้าจำไม่ผิด) หรือ 60 ชม(คะแนนสอบต่ำกว่า 40 หรือ ไม่เคยสอบ)
-การสอบกับ ม.(มช) ติดต่อลงสอบ/ดูวันสอบ ได้ที่สถาบันภาษาของ ม. (อยู่ตรงข้ามสนามยิงธนู และคณะเกษตร ยู่หัวมุมถนนพอดี)  การสอบจะสอบด้วยโปรแกรม คะแนนสอบออกวันที่สอบเลย เมื่อคะแนนสอบออกเลย ก็เดินมาลงสอบใหม่ได้หากไม่ผ่าน หรือเลือกลงเรียน
-การลงเรียน ระยะเวลาเรียนขึ้นอยู่กับคอร์ส เช่น คอร์ส 60 ชม อาจใช้เวลาเรียน 2 เดือน (หากลงกรุณาเพื่อเวลาอย่างน้อย 3 เดือนก่อนวันสิ้นปีการศึกษา) ก

-แนะนำให้ดำเนินการสอบภาษาอังกฤษตั้งแต่ เปิดเทอมขึ้นปี 2 หรือก่อนหน้านั้น  เพราะ อาจไม่ผ่าน ต้องสอบใหม่ หรือ ลงเรียน ซึ่งมันต้องมีระยะเวลา บางคอร์สคนเต็มต้องรอเดือนใหม่ จึงควรบริหารจัดการให้ดี 

-เมื่อผ่านอังกฤษแล้ว ให้ดำเนินการ ส่งสำเนาใบคะแนนสอบ หรือ ใบรับรองการผ่านคอร์สเรียน ซึ่งต้องเข้าเรียนไม่น้อยกว่า 80% ส่งสำเนาที่บัณฑิตวิลัย และ คณะ อย่างละ 1 ชุด 

**ทั้งนี้แนะนำ ว่า นอกจากเก็บเอกสารตัวจริงเป็นชุดให้เรียบร้อย ให้ถ่ายสำเนา/แสกนเอกสารดังกล่าวเก็บไว้เป็นไฟล์ดิจิตอล เพื่อความสะดวกหากต้องส่งเอกสารจากต่างจังหวัด หรือเอกสารเก็บไว้ที่บ้านซึ่งไกล และต้องใช้ด่วน สามารถลงสำเนาไฟล์ดิจิดอลให้ทางหน่วยที่ต้องการใช้ หรือ ปริ้นสำเนาส่งให้หน่วยงานได้ตามที่ต้องการ